ตัวตายตัวแทน เรื่องนี้มาจากสมาชิกคนหนึ่งในกระทู้ผีพันทิป ที่มาเล่าเรื่องผีจากประสบการณ์ที่ตนได้พบเจอจากเหตุการณ์จริง เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นมาติดตามกันได้เลย
เรื่องราวเกิดขึ้น หลังจากที่ผมไปรับญาติคนหนึ่งที่ต่างจังหวัด ญาติผมคนนี้ เป็นลูกน้า อายุอ่อนกว่าผมปีสองปี เราโตมาด้วยกัน เล่นหัวกันมาตั้งแต่
เด็กๆ ครั้งนี้ น้าขายรถให้กับคนรู้จักคนหนึ่ง เลยให้ ลูกชายน้าขับรถคันที่ขายไปส่ง ให้กับผู้ซื้อที่ต่างจังหวัด ผมเลยดันต้องขับรถไปรับลูกน้าคนนี้กลับ
มา หลังจากที่ขับรถไปส่งแล้วผมขับรถไปถึงต่างจังหวัด ตามที่นัดกันไว้กับลูกน้า ก็ราวๆ หัวค่ำ เกือบจะสองทุ่มแล้ว เจ้าของบ้านคนที่ซื้อรถ เขาก็เลยชวน ให้ค้างที่บ้านก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยขับรถกลับกัน ผมกับลูกน้าก็เลยได้นอนค้างกันที่บ้านคนรู้จัก คนนั้น หนึ่งคืน
พอตกลงว่าจะค้างคืนที่บ้านคนรู้จักคนนั้น เขาก็บอกว่า จะพาไปเดินตลาดนัด กลางคืน มีของกินของขายเยอะพวกเราก็เลยพากันไป ตลาดนัดกลางคืน
กับญาติๆของคนรู้จัก อีกสามถึงสี่คน พอไปถึงตลาด ก็แวะหาของกิน ซื้อโน่นซื้อนี่ กันตามอัธยาศัย จนเกือบๆ สี่ทุ่มก็ถึงชวนกันกลับ พอมาถึงบ้าน
ไม่รู้ว่าผมไปกินอะไร มา แล้วมันแพ้ อาการ แสบๆคันๆ ตามมือเท้า แล้วก็ ตรงต้นขา ตอนแรกก็ไม่คันมาก คิดว่าไม่เป็นไร ก็เลยอาบน้ำเข้านอนเลยจนดึกๆ นอนยังไง ก็นอนไม่หลับ รู้สึกมือแสบ เท้าแสบ แล้วก็คันรุนแรงมากขึ้น ผมก็เลยลุกขึ้นมาเปิดไฟดู
ปรากฏว่า มือเท้าผมบวมแดง แล้วก็เป็นผื่นขึ้นเต็มไปหมด เห็นแล้วตกใจเลยเลยรีบปลุกลูกน้าขึ้นมาดู พอลูกน้าตื่นมาดู เขาก็บอกว่า เฮ้ยแพ้อะไรหรือเปล่า ทำไมมันบวมแดงแบบนั้น
ผมก็ถามว่ามียาแก้แพ้อะไรติดตัวมาไหม เขาก็อบกว่าไม่มี ก็เลย เดินไปปลุกลุงเจ้าของบ้าน พอลุงเจ้าของบ้านตื่นมาเห็น เขาก็เลยหายาแก้แพ้มาให้กินผมกินยาเสร็จ ผมคิดว่าเดี๋ยวมันก็หาย ก็เลยเข้านอนต่อ แต่มันก็ไม่ทุเลาเลย ผมนอนกระสับกระสายไปมา คันตามมือตามเท้า ตามเนื้อตามตัวไปหมด เกาจน ผิวหนังมันเป็นเหมือน ผิวไม่เรียบ เป็นตุ่มๆขรุขระขึ้นมาเต็มไปหมดสุดท้ายนอนไม่ได้ต้องลุกขึ้นมานั่ง ลูกน้าก็เลยตื่นมาเปิดไฟ ดูอาการผม พอเขาเห็นแล้ว เขาก็ถามว่าไหวไหม
ตอนนั้นตีหนึ่งกว่าแล้ว ใจอยากจะรอให้ถึงเช้าค่อยไปหาหมอ แต่มันทนไม่ไหวจริงๆ ก็เลย บอกลูกน้าว่า ไปโรงบาลดีกว่า ไม่ไหวแล้ว พอพวกเราพากันจะเปิดประตูบ้านไปที่รถผม ลุงเจ้าของบ้านกับลูกแกก็ตื่น เดินลงมาดูพวกเรา แกก็ถามว่า เป็นอะไรลูกน้าก็เลยบอกว่า จะพาไปส่งโรงพยาบาล เพราะดูท่าทางจะแพ้หนักแล้ว ลุง ก็เลยบอกว่า นี่ไปโรงบาลตรงนี้ซิ ไม่ไกล อยู่ตรงเส้น เลี่ยงเมือง ตอนนั้น ผมเริ่มรู้สึกแสบตามเนื้อตามตัวไปหมด ใจเต้นแรง ลูกน้ามาประคองผมขึ้นรถ ลูกลุงรีบไปเปิดรั้วบ้านให้ไม่นานลูกน้าก็ขับรถ พาผมมุ่งหน้าไปส่งที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ขับมาได้สัก พักใหญ่ ผมถามว่าถึงหรือยัง
ลูกน้าก็บอกว่า ตรงไหนวะ ยังไม่เห็นป้ายโรงพยาบาลอะไรเลย ผมก็เลยบอกว่า เห็นคลีนิค ก็แวะคลีนิคก็ได้ขับมาเรื่อยๆ ผมนั่งหลับตา ไม่ได้มองถนนหนทาง แล้วรถก็ค่อยๆชะลอเหมือนจะเลี้ยวเข้าข้างทาง
ผมลืมตามองดู เห็นลูกน้า พาขับเข้าไป ผ่านประตูรั้ว โรงพยาบาล พอเห็นโรงพยาบาลตอนนั้น เริ่มใจชื้นขึ้นมาหน่อย อาการคัน อาการแสบเริ่มทุเลาลง แต่พอขับเข้าไปในรั้วโรงพยาบาลได้ไม่นาน ลูกน้าก็พาขับวนไปวนมา หาที่จอดรถ จนสุดท้ายมาจอดอยู่ในมุม มุมหนึ่ง ที่มืดๆผมก็ถามว่า เฮ้ย ไม่ไปจอด ตรงหน้าโรงบาลเลย โน้นตึกโน้น
ลูกน้าก็ตอบว่า มันเอาอะไรมากั้น ไม่ให้เข้าอะ ดูซิ มีเชือกกั้นเต็มไปหมดผมกับลูกน้าก็เลยพากันลงจากรถ ตรงที่เรายืนอยู่ เป็นลานจอดรถ แต่มีป้ายห้าม มีเชือกกั้นไม่ให้ขับเข้าไปต่อ เหมือนจะบอกว่า เป็นจุดสิ้นสุดถนน ก็เลยต้องจอดตรงนั้นแล้วลงเดินรอบๆข้างมีไฟส่องลานจอดไม่กี่ดวง ทำให้ดูสลัวสลัว มองไปไกลๆ ราวๆร้อยสองร้อยเมตร เห็นตึกโรงพยาบาลตึกหนึ่งเปิดไฟสว่าง เหมือนอยู่ด้านหลังตึกที่เรายึนอยู่ ตรงนั้นน่าจะเป็นอาคารใหญ่ของโรงพยาบาลตรงที่เราจอดรถ เป็นตึก มืดๆ เหมือนเขา ปิดทำการแล้ว เราก็เลยพากันเดินลัดไปตามตัวตึกที่มืดๆ เพื่อจะไปตึกที่สว่างๆเราเดินไปตามระเบียงของอาคาร ที่มีไฟเปิดอยู่สลัวสลัว คิดว่าเดินทะลุอาคารนี้ไป ก็น่าจะไปเจอ อาคารที่เปิดไฟสว่างสว่างนั้นแล้ว แต่พอเดินไปได้สักพัก มองเห็นอยู่ในระยะสายตา เหมือนกับว่า มีกำแพงกั้นไม่ให้เดินผ่านไป
ผมก็มองหน้า ลูกน้า แล้วก็บอกว่า “ทางตัน สงสัยต้องย้อนกลับไป ที่จอดแล้วอ้อมไปอีกทาง” แม้จะมองเห็นลิบๆว่าเป็นกำแพง แต่เราก็ยังเดินต่อไปไม่หยุด จนไปใกล้จะถึงผนังนั้น ก็เห็นป้ายติดอยู่ที่ผนังว่า ฉุกเฉินแล้วก็มีลูกศรชี้ไปในตึก
พอเราเดินไปถึงตรงนั้น มองไปตามลูกศร ก็เห็นเป็นช่องทางเดิน เดินเข้าไปในอาคาร มีไฟเปิดอยู่สลัวสลัว ตามข้างในทางเดินนั้น ผมมองไป เห็นเตียงรถเข็น จอดอยู่ตรงโคมไฟที่ส่องอยู่สลัวสลัว ลูกน้าก็เลยพูดว่า ” มา เฮีย เฮียขึ้นไปนอนเลย เดี่ยวผมเข็นเอง ”
ตอนนั้นผมรู้สึกหายใจแรง เหนื่อย แล้วก็แสบไปตามเนื้อตามตัว อยากจะเจอหมอเร็วๆ ก็เลยคิดในใจว่า ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเดิน คิดแล้ว ผมก็เลยเดินตรงไปที่เตียงเข็น แล้วก็ขึ้นไปนอนบนเตียง ลูกน้าก็เดินตามมา แล้วก็จับที่เตียงรถเข็นนั้นไว้
พอขึ้นไปนอนบนรถเข็นได้ ลูกน้าก็เข็นเตียงไปตามทางเดินทันที ตอนนั้น ผมได้แต่มองดูเพดาน เห็นโคมไฟสลัวสลัว สลับไปกับฝ้าสีขาวขุ่นๆ ดำๆมอซอ
ลูกน้าเข็นผมผ่านประตูเข้าไป ตามป้ายที่ชี้ว่า ฉุกเฉิน พอผ่านประตูเข้าไป ก็มีช่องทางเดินไปอีก มีไฟเปิดอยู่ สองสามจุด เป็นระยะๆ ผมมองไปทางปลายเท้า เห็นข้างหน้าเป็นทางบังคับเลี้ยว ขวา พอเลี้ยวขวา ก็เจอโถงลิฟท์ แต่ไฟหน้าโถงลิฟท์ไม่ติด ทำให้บริเวณนั้นมืดพอสมควร พอผ่านโถงลิฟท์ไปก็เจอประตูห้อง ห้องหนึ่ง มีป้ายเขียนว่าแผนกสูติ แต่ตรงหน้าแผนกนั้นมืดมาก ไม่ได้เปิดไฟ ประตูห้องไม่ได้ปิดไว้ ผมมองเข้าไปในห้องแผนกสูติ
มันมืดมากๆ ไม่มีใครอยู่ข้างในเลย ในใจก็คิดว่า ทำไมบรรยากาศมันวังเวงอย่างนี้นะ
ผ่านจากตรงนั้นมาไม่นาน ผมมองไปทางซ้ายมือผม ก็มาโผล่ แถวๆ ห้องโถงใหญ่ เหมือนแผนก จ่ายยา หรือ รอคิวอะไรสักอย่าง มีเก้าอี้ยาวๆ วางเรียงกันอยู่หลายสิบตัว เป็นทางยาว แต่โถงตรงนั้น ปิดไฟมืดหมด มีแต่ไฟตรงทางเดินข้างๆที่เราผ่าน เท่านั้นที่เปิดอยู่ เลยทำให้พอมองเห็น บรรยากาศตรงนั้น ตอนที่ปิดทำการ ว่าเงียบเหงาขนาดไหน
ผมตกใจ รีบชำเรืองมองไปทางคนเข็นเตียง เห็นเป็น พยาบาลคนหนึ่งมาเข็นรถเตียงผม พอเห็นว่าเป็นชุดพยาบาล ผมก็ไม่ทันได้มองดูหน้าตาเขา ก็เลยหันกลับมานอนหงาย ให้พยาบาลเข็นเตียงผมไป พอเข้ามาในห้องฉุกเฉิน ยังไม่ทันถามอะไร พยาบาลคนนั้นก็เดินกลับออกไปเลย