เรื่องเล่าผีเขมรบนเกาะกูด
เรื่องเล่าผีเขมรบนเกาะกูด เรื่องมันเกิดขึ้นในปลายฤดูร้อนปีหนึ่ง เมื่อบรรดาสจ๊วตและแอร์รุ่นเดียวกับผมนัดรวมพลพรรคที่มีเวลาว่างตรงกันประมาณ 10 คน จัดทริปไปเที่ยวเกาะกูด โดยพักที่บ้านกึ่งรีสอร์ท บนเกาะเล็ก ๆ ส่วนตัว ห่างออกมาจากชายแดนของประเทศกัมพูชา (เขมร) ไม่มากนัก ด้วยความที่อยากทำตัวเป็นไฮโซติดดิน พวกเราจึงทุลักทุเลเดินทางออกจากกรุงเทพฯ
ในตอนบ่ายโดยรถโดยสารปรับอากาศของ บขส.จากสถานีเอกมัย มาลงที่ตัวจังหวัดตราด แล้วต่อรถสองแถวไปที่ท่าเรือ เพื่อต่อเรือไปยังเกาะที่พักอีกที ซึ่งกว่าจะถึงที่หมายก็พลบค่ำทุกคนจึงเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง ขนาดที่เรียกได้ว่าแทบจะคลานขึ้นบ้านพักกันเลย หลังจากเติมพลังงานด้วยอาหารเย็น ที่เจ้าของรีสอร์ทจัดเตรียมให้จนอิ่มหมีพีมันแล้ว
พวกเราจึงออกเดินสำรวจบ้านพักและบริเวณโดยรอบ… มันมีลักษณะเหมือนบังกะโลชายหาดแบบโบราณทั่วไป คือยกพื้นสูงประมาณเมตรกว่าๆ ตัวเรือนทำด้วยไม้ มีหน้าต่างโดยรอบ ทำให้อากาศถ่ายเทได้เป็นอย่างดี ด้านหน้าเป็นท้องทะเลสีคราม เข้ากับสีฟ้าอ่อนของตัวบ้าน ด้านหลังอิงแอบกับเนินเขาลูกเล็กๆ ที่มีบรรดาพืชพันธุ์ต่างๆ
ขึ้นเบียดเสียดกันอยู่มากมาย เสียงสรรพสัตว์ต่างๆ ร้องเบาๆ ดังออกมาจากป่าละเมาะนั้น แต่เสียงหนึ่งที่ทำให้ผมขนลุกด้วยความกลัวปนขยะแขยงมากที่สุดคือเสียงของตุ๊กแกที่ไต่ยั้วเยี้ยอยู่ตามผนังบ้าน ระหว่างทาง พวกเราได้พบปะพูดคุยกับชาวบ้านที่มาทำงานที่รีสอร์ทแห่งนั้น ทุกคนต่างก็มี อัธยาศัยอันดี ยกเว้นแต่พ่อแม่ลูกสามคนที่มองผมและซุบซิบกันด้วยท่าทีแปลกๆ…
คืนนั้น… พวกเรานั่งเฮฮาตากลมริมชายหาด จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไป จนเกือบเที่ยงคืนจึงเดินกลับเข้าตัวบ้าน เพื่อพักผ่อน ด้วยความที่สนิทกันมาก แต่ละคนจึงลากเอาที่นอน หมอนมุ้งมานอนรวมกันที่ห้องใหญ่ห้องเดียว ต่างพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน…สักพักใหญ่ ๆ
เสียงจ้อกแจ้กจึงค่อย ๆ ลดระดับลงเป็นเสียงกระซิบ และ เงียบไปในที่สุดแสงจันทร์ที่สาดส่อง เข้ามาในห้องเห็นเป็นเงาสลัวลาง เสียงเกลียวคลื่น กระทบฝั่งเบา ๆ ประกอบกับความเหนื่อยล้า จากการเดินทาง ทำให้ผมผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย เวลาจะผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบ ผมสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อได้ยินตุ๊กแกร้องระงมอยู่ภายนอก
เสียงนั่นทำให้ต้องรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง เอามืออุดหูด้วยความเกลียดกลัว…น่าแปลกที่บรรดาเพื่อน ๆ ยังคงนอนหลับกันอย่างสบายอารมณ์ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น สักพักเสียงตุ๊กแกก็สงบลง แต่คราวนี้กลับมีเสียงของชายหญิงคู่หนึ่งดังขึ้นเบา ๆ ผมพยายามฟังว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกันอยู่ แต่ไม่สามารถเข้าใจได้แม้แต่คำเดียว… เหมือนกับเป็นภาษาเขมร
ผมค่อย ๆ พลิกตัวมองไปยังหน้าต่างบานหนึ่ง ซึ่งเป็นที่มาของเสียง…ท่ามกลางความมืดมิดที่มีเพียงแสงจันทร์สลัว… ภาพลาง ๆ ที่เห็นเบื้องหน้า คือ ชายหญิงและเด็กที่ผมพบตอนเดินเล่นเมื่อช่วงค่ำนั่นเอง… การสนทนาสะดุดหยุดลงทันที เหมือนรู้ว่ามีคนกำลังแอบฟังอยู่ ทั้งหมดหันมาจ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาที่เย็นชา…
“ อ๋อ…พวกชาวบ้านที่ทำงานที่นี่นั่นเอง ” ผมคิดในใจพร้อมกับเอ่ยถามพวกเขาเบาๆ ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนเพื่อนที่นอนหลับอยู่ “ มีอะไรหรือครับ…มาทำอะไรกันดึกๆ ดื่นๆ อย่างนี้… ” เสียงของผมทำให้เพื่อนบางคน เริ่มขยับพลิกตัว… เมื่อเหลียวไปมองก็เห็นเงาตะคุ่ม ๆ กำลังโงนเงนลุกขึ้นนั่ง
เพียงเสี้ยววินาทีที่ผม ละสายตาจากพวกเขาเหล่านั้น… พลันปรากฏภาพของเด็กผู้ชาย ตัวเล็กที่อยู่ข้างนอก เมื่อสักครู่ มายืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอน ถือไม้ท่อนใหญ่ท่อนหนึ่งแกว่งเล่นในมือ… ผม งง งันกับภาพเบื้องหน้า ไม่เข้าใจว่าเด็กนั่นแอบปีนเข้ามาในห้องพักของพวกเราตั้งแต่เมื่อไร
โดยไม่คาดคิด… แกเริ่มออกวิ่งไปรอบ ๆ ห้อง กระโดดข้ามเพื่อนบางคนที่ยังคงนอนขวางอยู่ พลางเอาไม้ที่ถืออยู่เคาะผนังดัง ก๊อกๆๆๆ พร้อมส่งเสียงกรีดร้อง… มันดังโหยหวน จนผมต้องยกมือขึ้นปิดหู ถึงตอนนี้ เพื่อนๆ ผมก็ตื่นกันหมดแล้ว ทุกคนต่างลุกขึ้นนั่งแล้วมองหน้ากันด้วยความงุน งง
ว่าเกิดอะไรขึ้น… ผมพยายามร้องห้าม แต่เด็กนรกนั่นไม่ยอมหยุด ยังคงวิ่งพล่าน เคาะฝาผนังรอบห้องต่อไป ผมจนปัญญาจึงหันไปหาสามีภรรยาที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม “ พี่ๆ ช่วยมาเอาลูกออกไปหน่อยสิครับ ซนจริงๆ… ” ผมกวักมือเรียก สองคนนั่นแต่น่าแปลกที่พวกเขาดูเหมือนจะไม่สนใจใยดีอะไรเลย
ว่าลูกตัวเองกำลังรบกวน การพักผ่อนของพวกเราอยู่ “คุยกับใครที่ไหนอยู่เหรอ แอนดี้… แล้วนี่เสียงอะไรน่ะ ใครร้อง…ใครเคาะฝาบ้าน” เสียงสั่น ๆ ของเพื่อนคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น พร้อมหันไปมองรอบ ๆ อย่างหวาด ๆ ราวกับว่ามันไม่เห็นใครอยู่เลย “ อ้าว…ก็เรียกให้พ่อแม่ของเด็กนี่มาเอาลูกเค้าออกไปน่ะสิ วิ่งเล่นอยู่ได้ ไม่หลับไม่นอน ”
ผมตอบอย่างเหลืออด จากนั้นก็ขยับตัวลุกขึ้น อาศัยแสงจันทร์หาทางเดินไปยังแผงสวิทช์ไฟ แล้วกดปุ่มให้มัน ทำงาน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น… .ห้องทั้งห้องยังคงมืดมิด ท่ามกลางความงุนงงของเพื่อน ๆ ผมกดปุ่มซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า แข่งกับเสียงกรีดร้อง และเสียงเคาะผนังห้องของเด็กนั่น ความกดดันปะทุขึ้นจนผมไม่สามารถทนได้
ผมใช้นิ้วกระแทกย้ำไปที่สวิทช์ไฟอีกหลายครั้ง พร้อมตะโกนขึ้นอย่างเหลืออด “ไอ้หนูหยุด…หยุดวิ่งเดี๋ยวนี้…”เมื่อสิ้นเสียงของผม แสงจากดวงไฟหลายดวงบนเพดานพลันสว่างขึ้น เสียงอึกทึก และ ภาพของเด็กน้อยคนนั้น กลับหายไปในพริบตา ห้องทั้งห้องกลับเข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง… ผมมองไปรอบ ๆ เห็นบรรดาเพื่อน ๆ นั่งรวมกลุ่มกันอยู่ด้วยความหวาดกลัว
ผมรีบสาวเท้าเดินไปที่ หน้าต่างตรงหัวนอน เพื่อมองหาทั้งสามคนนั่น แต่กลับไม่พบอะไรเลย… แข็งใจมองฝ่าความมืดออกไป เห็นเงาตะคุ่มๆ กลุ่มหนึ่งเดินอยู่ตรงท่าเรือ พวกเขาหันมามองที่ผมอีกครั้ง ด้วยแววตาเฉยชาเช่นเคย แล้วค่อย ๆ เดินห่างออกไป จนกระทั่งลับสายตาในที่สุด เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ผมเดินลงไปดูตรงบริเวณที่เห็นสามีภรรยาเมื่อคืน
(เดินไปคนเดียว เพื่อนคนอื่น กำลังสาละวนเก็บของหนีกลับกรุงเทพฯ) พบว่ามี ศาลเพียงตาตั้งอยู่สองหลัง… ทำไมนะ เมื่อวานพวกเราถึงไม่มีใครเห็นศาลนี้กันสักคน สอบถามคนงานดูจึงทราบว่า มันถูกสร้างให้สามีภรรยา และ ลูกชายที่นั่งเรืออพยพ มาจากกัมพูชาเพื่อหนีสงครามเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่โชคร้ายที่เรือมาล่ม จมน้ำตายหมดทั้งครอบครัว และ ศพถูกกระแสน้ำพัดมาเกยตรงบริเวณหาดหน้าบ้านหลังนี้ เรื่องเล่าผีเขมรบนเกาะกูด
ขอบคุณแหล่งที่มา : https://pantip.com/topic/31926641
ติดตามเรื่องเล่าสยองขวัญ ใหม่ล่าสุด อ่านเรื่องผีๆ พร้อมความน่ากลัว เรื่องสยองขวัญ และเรื่องเล่าผี ทั่วทุกมุมโลก หาอ่านได้ที่นี่ : สยองขวัญ