วิญญาณ ที่สิงสถิตอยู่ ในต้นไม้ หรือที่เรียกกันว่า นางไม้ เป็นชื่อที่คนไทยคงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ในประเทศไทย นางไม้ปรากฏอยู่ในรูปของ เทวดาประจำต้นไม้ เช่น รุกขเทวา, พระไทร และ นางตะเคียน เป็นต้น ถ้าใครจะตัดต้นไม้นั้น นางไม้ก็จะไม่มีที่อยู่ นางไม้จึงต้องแสดงฤทธิ์ทำให้คนไม่กล้าตัดต้นไม้ เช่น ทำให้คนที่ตัดต้นไม้ล้มเจ็บ เป็นไข้ หรือคลุ้มคลั่งเป็นบ้า

เรื่องราวที่จะมาเล่า เกิดขึ้นที่น้ำตกแห่งหนึ่ง ในจังหวัดเชียงราย ในเชียงรายตอนนั้นป่าเยอะอยู่พอสมควร รวมไปถึงสัตว์ป่าด้วย ตอนนั้นผมอยู่ ม.1 ซึ่งผมกับเพื่อนเวลานั้นเนี่ยไม่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้เลย เพราะว่าทุกคนยังไม่เคยเจอ แล้วก็โดยส่วนตัวผมแล้วเนี่ยเป็นคนใจร้อนใจกล้าครับ เลยไม่กลัว
เรื่องมันก็มีอยู่ว่า เพื่อนผมคนนึงมันมีสวนอยู่ใกล้ๆกับน้ำตกพอดี เป็นสวนกาแฟ+สตอร์เบอร์รี่ มันก็ชวนผมกับแก๊งเพื่อนๆไปนอนสวนมันกัน เป็นช่วงปีใหม่ครับ ซึ่งผมแล้วก็เพื่อนๆจะเป็นกลุ่มที่เล่นบาสกัน ก็เลยตัวสูงอยู่พอสมควร ตอนนั้นผมก็สูงราว 170 ซม. ครับ(อันนี้บอกไว้ก่อน มันเกี่ยวกับความสูง)
พอไปถึงที่สวนเพื่อน ก็จัดการกางเต็นท์ เตรียมกองไฟ ที่นั่งกัน กว่าจะเสร็จก็เย็นแล้ว ทีนี้ก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ พอค่ำๆ พวกผมก็เอาหมูกระทะมากินกัน เพราะว่าพ่อของเพื่อนเตรียมมาให้ ก็กินๆกัน แล้วก็ดื่มเบียร์กันครับ พอมืดเข้าๆ เวลาประมาณสามทุ่มเกือบสี่ทุ่ม
เพื่อนผมมันก็บอกว่า “มีต้นน้ำอยู่ใกล้ๆ อยากไปดูไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้พาไป ต้องเดินขึ้นเขาไปประมาณ 6-7 กิโล” ผมซึ่งก็เป็นเด็กใจร้อนก็เลยบอกว่า ทำไมไม่ขึ้นไปตอนนี้เลยล่ะ เนี่ยเสียเวลากางเต็นท์มาตั้งนาน วันนี้ทั้งวันยังไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย มานอนเฉยๆเองเหรอ เพื่อนผมมันก็บอก “เออจริงของมันว่ะ นี่ เราก็ยังไม่เคยเดินป่าตอนกลางคืนเลย น่าสนุกออก”
ซึ่งจริงๆเป็นการตัดสินใจที่ผิดมาก เพราะว่าเดินป่ากลางคืนมันหลงง่าย แล้วก็ต้องขึ้นเขาไปอีก อันตรายมาก พ่อของเพื่อนผมก็บอกว่าอย่าไปเลยลุก อันตราย ดึกมากแล้ว ทีนี้พวกผมก็ด้วยความเป็นเด็กคึกคะนอง ก็นัดเจอกัน รอให้พ่อเพื่อนหลับก่อนแล้วค่อยไป
พอถึงเวลานัดปุ๊บ ก็มาเจอกันที่จุดนัดพบ ตอนนั้นเวลาประมาณห้าทุ่มเกือบเที่ยงคืน ผมรวมกับเพื่อนๆมีกัน 5 คนครับ ไฟฉาย 2 อัน แล้วก็มีดฟันไม้อีก 1 เล่ม แล้วก็ออกเดินทางกัน
การขึ้นเขาเที่ยวเนี้ย ผมเดินนำหน้าเพราะว่าตัวใหญ่+ใจกล้าที่สุด แล้วเพื่อนเจ้าของสวนถือไฟฉายตามหลังส่องทางแล้วก็คอยบอกทาง ผมถือมีดฟันใบไม้ อีกสามคนด่านหลังใช้ไฟฉายร่วมกัน ซึ่งทางที่พวกเราเดินไปเนี่ย มันจะเป็นที่ราบสลับกับที่ชัน สลับไปสลับมาจนกว่าจะถึงต้นน้ำ พอเดินเข้าไปลึกเข้าๆ เวลาก็ประมาณเที่ยงคืนกว่า ก็เหนื่อยสิครับ เดินขึ้นเขาต้องใช้แรง ก็เลยแวะพักกินน้ำกินท่ากัน ตรงบริเวณที่เป็นที่ราบ แล้วเพื่อนผมคนนึงมันปวดฉี่ ผมก็เลยอาสาไปส่งมันฉี่ ทีนี้ไฟฉายก็มีแค่สองอัน อันนึงก็เอารวมไว้กับเพื่อนๆ อีกอันผมก็ต้องให้เพื่อนไปเพราะว่าผมยืนรอมันฉี่อยู่
เดี๋ยวถ้าไม่ให้มันไปแล้วมันจะกลับมาไม่ถูก ระหว่างที่เพื่อนผมมันกำลังทำธุระส่วนตัวอยู่ ผมก็เดินสำรวจป่าไปเรื่อยเปื่อยฆ่าเวลารอมัน แล้วทีนี้ตอนนั้นมันก็มืด อีกทั้งยังต้องระวังทางลาดชันอีก ผมก็เลยก้มดูที่เท้าตลอด เพราะว่ากลัวจะตกทางชัน แล้วทีนี้เดินๆไป ผมก็เอ๊ะ แปลกใจ ทำไมแถวนี้มันเงียบได้ขนาดนี้เนี่ย แม้แต่เสียงนกเสียงสัตว์ก็ไม่ได้ยิน เงียบมาก เงียบจนผมแทบได้ยินเสียงหายใจตัวเอง ตอนแรกก็ยังไม่ทันได้คิดอะไร จนมันมาเจอกับอะไรประหลาดๆ
ป่าที่ไม่ค่อยมีคนเดิน ปกติมันก็ต้องมีหญ้ามีไม้ขึ้นเต็มไปหมดใช่ไหมครับ แต่แล้วทีนี้ เนื่องจากผมมองดูที่เท้าตัวเองตลอด เพราะว่ากลัวตกเขาเนี่ย ก็เลยสังเกตเห็นตรงพื้น มันคล้ายๆเป็นเส้นแบ่งเขตอะไรสักอย่างครับ คือหมายถึง ถ้าผ่านเส้นนี้ไปแล้ว หญ้ารกๆกับไม้ที่พันกันแล้วเนี่ย จะเหลือก็แค่ดินสีน้ำตาลๆอ่ะครับ แล้วคือบรรยากาศมันเงียบมาก แล้วก็หนาวครับ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงปีใหม่ อากาศทางภาคเหนือก็จะหนาว ผมพอเห็นพื้นเป็นดินโล่งๆ ก็เอ๊ะยังไง สงสัย ก็เลยเงยหน้าขึ้นมาก็ … เจอเลยครับ

ก็เจอเลยครับ ต้นตะเคียน ใหญ่มาก ขนาดประมาณ 10 คนโอบได้ มีผ้าเจ็ดสีเก่าๆเขรอะๆพันอยู่ ซึ่งรอบๆต้นตะเคียนต้นนเนี้ย ไม่มีหญ้าขึ้นเลย มีแต่ดินสีน้ำตาลๆเท่านั้น ผมก็แปลกใจ แต่ก็ยังนึกหาเหตุผล มันอาจจะเป็นเพราะรากต้นตะเคียนแน่นมาก พืชอื่นๆเลยขึ้นไม่ได้รึปล่าว ทีนี้ ผมมองไปดูคร่าว ก็เห็น ตรงด้านหน้าของต้นตะเคียนจะมีมีศาลเพียงตาเล็กๆอยู่
ซึ่งผมตอนนั้นก็คนไม่กลัวผีอ่ะครับ เดินเข้าไปดูเลย แล้วศาลเพียงตาเนี่ย มันอยู่สูงประมาณต่ำกว่าจมูกผมนิดนึง นั้นก็หมายความว่าศาลเนี้ย สูงประมาณ 160-165 ซม. ถ้าเทียกับผมซึ่งสูง 170 ซม. ผมก็อืม ยกมือไหว้ แล้วก็เดินออกมา แล้วคือความรู้สึกตอนนั้นก็ยังหวั่นๆอยู่นะครับ
คือไม่เชื่อเรื่องผีแต่ก็หวั่นๆอยู่ เพราะว่าดูหนังเยอะ ก็พยายามก้าวขาเร็วๆ เดินออกมาจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด พอมาถึงเขตที่เป็นไม้แล้วก็หญ้ารกๆ มันก็มีลมพัดตึ้งเข้าหน้าผม ผมนี่ขนลุกไปทั้งตัวเลยครับ เพราะว่าอากาศก็หนาว ละใจก็หวั่นๆละ พอลมพัดเสร็จ ผมได้ยินเสียงมาจากด้านหลัง เป็นเสียงคล้ายๆเสียงฉิ่งอ่ะครับ ดัง ฉิ้งงงง
ผมก็เอ๊ะ อะไร ก็เลยหันกลับไปมอง นึกว่าอะไรหล่นมาจากศาลเพียงตารึปล่าว ซึ้งผมสามารถเห็นได้ค่อนข้างชัด เนื่องจากแสงจันทร์ส่องมาได้ เพราะว่ารอบๆต้นตะเคียนเนี่ย ไม่มีต้นไม้ต้นอื่นขึ้นเลย แล้วต้นตะเคียนเนี่ยจะสูงมาก ดังนั้นแสงจันทร์ก็เลยส่องมาถึงพื่นได้ ภาพที่ผมเห็นตอนนั้นเนี่ย ผมเห็นเป็น ผู้หญิง ผมยาวสลวยสยายมาถึงบริเวณสะโพก ใส่ชุดไทย สไบสีเขียวเข้มเหมือนใบไม้ เค้ายืนอยู่ข้างศาลเพียงตาครับ แต่!!! ตัวเค้าสูงมาก คือ เค้ายืนเอามือแนบกับลำตัว แล้วศาลเพียงตาเนี่ยอยู่ระดับเดียวกับมือของเค้าอ่ะครับ แต่ว่าเค้าไม่ได้สบตาผม เค้ายืนหันหน้าไปทางด้านขวา ผมตอนนั้นก็ยืนตัวแข็งทื่อเลยครับ ทำอะไรไม่ถูก แล้วผมก็ได้ยินเสียงฉิ่งดังมาอีกรอบ แต่เป็นจังหวะ ฉั่บ
แล้วพอจบจังหวะฉับนั้น เค้าหันหน้ามาทางผม สบตาผม แล้วก็หายเข้าต้นไม้ไปเลย ผมจำได้แม่นเลยครับว่า หน้าตาเค้าสวยมากๆ สวยแบบไทยๆ เหมือน จุ๋ย วรัทยา แต่งชุดไทยเลย พอเค้าหายเข้าไปในต้นไม้ ผมก็กลับมาหาเพื่อน ปรากฏว่า เพื่อนก็ถามผม “หายไปไหนมาตั้ง 2 ชม. เนี่ยจะตีสามแล้ว นึกว่าเสือบคาบไปกิน ละเนี่ย” ผมไม่พูดไม่จา เดินลงเลยครับ ไม่ปงไม่ไปละต้นน้ำเนี่ย ซึ่งจริงๆแล้วผมว่าผมไปมาไม่เกิน 30 นาทีนะ
แต่ก็แปลก เพื่อนมันบอกผมหายไปตั้งสองชั่วโมง พอรุ่งเช้า ยายผมก็มาที่สวน เพราะว่ายายผมสนิทกันกับทางแม่เพื่อนเจ้าของสวน ผมก็เลยไปคุยกับยาย เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ยายผมก็บอกว่า นางตะเคียนน่ะ จะออกมากวาดลานบ้านตัวเอง ก็เลยทำให้ไม่มีหญ้าขึ้น แล้วที่ผมไปเห็นมาน่ะ เค้าไม่ได้มาร้าย แต่แค่มาเตือนว่าอย่าเข้าไปในพื้นที่บ้านเขา เราเป็นคนยังไม่ชอบให้ใครเข้าบ้านเลย

นางไม้ ประจำต้นไม้ใหญ่ ๆ ว่ากันว่า มักจะดุร้ายกว่านางไม้หลาย ๆ ประเภท เพราะเป็นต้นไม้ใหญ่มีอายุหลายสิบหรือนับร้อยปี แผ่กิ่งก้านสาขาลำต้นสูงใหญ่ ให้ความรู้สึกที่น่าเกรงกลัวยิ่งนักในยามกลางคืน ซึ่งคนไทยเรา เชื่อว่า ต้นตะเคียน มีนางไม่สิงอยู่ ถ้ายิ่งมียางไม้ไหลออกมาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งถือว่า นางตะเคียนจะยิ่งเฮี้ยน หรือมีฤทธิ์แรงมาก
อ่านบทความเพิ่มเติม : เซ่นไหว้สยองขวัญ
อ่านบทความเพิ่มเติม : ตำนานศุกร์ 13